วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรใกล้บ้านแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด



วันนี้ผมนำเรื่องใกล้ตัว ง่ายๆ แต่คนเรามักมองข้ามไปมาฝากกันครับ นั่นคือ "สมุนไพร" สมุนไพรใกล้บ้านเรานี่แหละครับ บางบ้านปลูกไว้ประกอบอาหาร บางบ้านปู่ย่า ตายาย ปลูกไว้แต่ไม่รู้จัก รึบางบ้านไม่ได้มีปลูก หรือ ไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำไป น่าเสียดายครับ ของดีๆ มีประโยช์น หาได้ง่ายตามท้องถิ่นแบบนี้ จะทิ้งจะขว้างก็กระไรอยู่ ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยช์นสูงสุดกันดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องไปซื้อหายาแพงๆมารักษาโรคเล็กๆน้อยๆที่เราสามารถแก้ได้ด้วยตัวเองแบบนี้ แถมประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วยนะเนี้ย

"สมุนไพรบำบัด" คำๆนี้หลายๆท่านอาจจะฟังคุ้นหูมาบ้างแล้ว แต่หลายๆท่านก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจใยดี "หันกลับมาครับ" หันกลับมามองอะไรที่มันง่ายๆ ใกล้ๆตัวกันบ้างดีกว่าครับ เพราะเจ้า"สมุนไพร" เนี้ยพวกมันมีสรรพคุณมากมาย "แก้โรค" ต่างๆได้มากมายนักเกินกว่าจะบรรยายได้หมด วันนี้ผมเลยมานำเสนอเรื่องของ สมุนไพรบำบัดแก้อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นกันบ่อย (บ่อยมากเหลือเกิน) ดังนั้นเรามาแก้ปัญหากันแบบง่ายๆ แถวๆรอบๆบ้านกันดีกว่าครับ ลุยยยย!!



สูตร 1 ขมิ้นชัน (ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ)





ส่วนที่ใช้ เหง้าสด และแห้ง

วิธีใช้

- ยาลูกกลอน ใช้ขมิ้นสดล้างให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดละเอีดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย อบให้แห้ง
และเก็บในขวดสะอาดมิดชิด รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อน หรือ หลังอาหารและก่อนนอน

- ยาแคปซูล ใช้ขมิ้นสดล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดหรืออบให้แห้งสนิท บรรจุ แคปซูล ขนาด 250 มก. รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง
ก่อนหรือหลังอาหารและก่อนนอน หากรับประทานแล้วท้องเสีย ให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น



สูตร 2 ขิง (ขิงเผือก ขิงแกง ขิงแดง สะเอ)




ส่วนที่ใช้ เหง้าแก่ หรือสด รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด คลื่่นไส้ อาเจียน เมารถเมาเรือ

วิธีใช้

- ใช้เหง้าสดขนาดหัวแม่มือ ทุบให้แตก ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ตากหรืออบให้แห้ง แล้วบดเป็นผง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคบซูล
รับประทานก่อนหรือหลังอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 2 แคปซูล



สูตร 3 กานพลู (จันจี่)





ส่วนที่ใช้ ดอกตูม

วิธีใช้

- ดอกแห้ง 5-8 ดอก ต้มน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่มใช้ดอกแห้ง 1 ดอก แช่ในกระติกน้ำร้อนที่ใช้ชงนมให้เด็กอ่อน



สูตร 4 กระเทียม (กระเทียมขาว หอมขาว ปะเซ้วา)





ส่วนที่ใช้ หัวใต้ดิน

วิธีใช้

- ใช้กระเทียมสด 5-7 กรีบ รับประทานหลังอาหารหรือตอนมีอาการ



สูตร 5 กระเพรา (กอมก้อ กอมก้อดง กะเพราขาว กระเพราแดง)





ส่วนที่ใช้ ใบที่สมบรณ์เต็มที่ นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่ากระเพราขาว

วิธีใข้

- ใช้ใบและยอด 1 กำมือ (สดหนัก 25 กรัม แห้งหนัก 4 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม



สูตร 6 ตะไคร้ (จะไคร้ ไคร คาหอม เชิดเกรบ เหลอะเกรย ห่อวอตะโป หัวสิงไค)





ส่วนที่ใช้ เหล้าและลำต้นแก่

วิธีใช้

- ใช้เหง้าและลำต้นแก่สด 1 กำมือ ทุบพอแตก ต้มกับน้ำประมาณ 500 cc. เอาน้ำดื่ม หรือใช้อย่างแห้งนำมาชงแบบชาดื่ม



สูตร 7 พริกไทยดำ





ส่วนที่ใช้ ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก นำมาตากแดด

วิธีใช้

- นำผลแก่แห้งบดเป้นผงใส่แคปซูล หรือปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 0.5-1 กรัม หรือใช้ผงชงน้ำดื่มเลยก็ได้
ส่วนที่เป็นเมล็ดอ่อน ก็นำมาเครี้ยวสดๆ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้



สูตร 8 ดีปลี (ดีปลีเชือก ประดงข้อ ปานนุ)





ส่วนที่ใช้ ผลแก่จัด ตกาแดดให้แห้ง

วิธีใช้

- ใช้ผลแก่แห้งประมาณ 10 ดอก ใส่น้ำประมาณครึ่งลิตร ต้มเอาน้ำดื่ม ถ้าไม่มีดอกใช้เถาต้มแทนได้



สูตร 9 ข่า (ข่าตาแดง ข่าหยวก ข่าหลวง)





ส่วนที่ใช้ เหล้าแก่สด หรือ แห้ง

วิธีใช้

- ใช้เหง้าสดหรือแห้ง ขนาดหัวแม่มือ (สดหนัก 5 กรัม แห้งหนัก 2 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม



สูตร 10 กระชาย (กระแอน ระแอน ขิงทราย ว่านพระอาทิตย์ จี๊ปุ เปาซอเถ๊ะ เป๊าะสี)





ส่วนที่ใช้ เหง้าใต้ดินและราก

วิธีใช้

- นำเหง้าและรากประมาณครึ่งกำมือ บุบพอแหลก ต้มเอาน้ำดื่มเวลามีอาการ หรือใช้ปรุงเป็นอาหาร



สูตร 11 แห้วหมู ( หญ้าขนหมู )





ส่วนที่ใช้ เหง้าใต้ดินและราก

วิธีใช้
- ใช้ ครั้งละ ๑ กำมือ (๖๐ – ๗๐ หรือหนัก ๑๕ กรัม ) ทุบให้หแตก ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้หัวสดครั้งละ ๕ หัว โขลกละเอียดผสมน้ำผึ้งรับประทาน



สูตร 12 ลูกกระวาน (กระวานโพธิสัตว์ กระวานจันทร์ กระวานดำ กระวานแดง กระวานขาว)




ส่วนที่ใช้ เมล็ดแก่แห้ง

วิธีใช้
- เอาเมล็ดบดเป็นผงรับประทานครั้งละ ๑.๕ – ๓ ช้อนชา (หนัก ๑ – ๒ กรัม) ชงกับน้ำอุ่น เมล็ดกระวานยังใช่ผสมกับสมุนไพรที่มีฤทธืขับถ่าย เช่น มะขามแขก เพื่อบรรเทาอาการไซ้ท้อง



สูตร 13 เร่ว (เร่วใหญ่ มะอี้ หมากอี้ หมากเนิง มะหมากอี้ หมากแน่ง)





ส่วนที่ใช้ เมล็ดแห้ง

วิธีใช้
- ปอกเปลือกผลเร่วออก ใช้เมล็ดบดเป็นผง รับประทานครั้งละ ๓ – ๙ ผล
(หนัก ๑ – ๓ กรัม) รับประทานวันละ ๓ ครั้ง



สูตร 14 มะนาว ( ส้มมะนาว มะสิว )




ส่วนที่ใช้ เปลือกของผลมะนาว

วิธีใช้
- นำเอาเปลือกของผลสด ประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อย พอให้น้ำมันออก ชงน้ำดื่มเวลามี่อาการ



สูตร 15 กระทือ ( กระทือป่า กะแวน กะแอน แสมดำ )


ส่วนที่ใช้ หัวหรือเหง้าแก่สด ในช่วงฤดูแล้ง

วิธีใช้
- นำเอาเหง้าหรือหัวสดขนาดเท่าหัวแม่มือ ๒ หัว ( ประมาณ ๒๐ กรัม ) ย่างไฟ พอสุกตำผสมน้ำปูนใส คั้นเอาน้ำดื่มเวลามีอาการ


ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ "สมุนไพรไทย" ของเรานั้นหลากหลายและมีสรรพคุณมากมายนัก ไว้โอกาศหน้าผมจะนำมาฝากทุกท่านอีกแน่นอน
ตอนนี้ขอตัววิ่งไปดูรอบๆบ้านก่อน ว่าจะจับเจ้า"สมุนไพร" ตัวไหนมาต้มยำทำแกงดี หุหุ
แล้วพี่ๆน้องๆทุกท่านหละครับ จะวิ่งๆๆไปดูเหมือนผมกันไหมคร้าบ!! (^_^)


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://www.the-arokaya.com

กล้วยหอม มีประโยช์น แต่เอ๊ะ!! ให้ "โทษ" ด้วยรึเปล่า

กล้วยหอม เป็นผลไม้ท้องถิ่นในประเทศไทยเราอยู่แล้วหาทานได้ง่ายแถมราคาถูกอีกด้วย คนไทยเรารวมทั้งคนทั่วโลกต่างนิยมบริโภคกล้วยหอมกันเป็นอย่างมาก อาจพูดได้เลยว่า "กล้วยหอมเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน" ของทุกๆคนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเจ้ากล้วยหอมจะมีสีสันสวยงาม หอมหวาน น่ารับประทานแล้วยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ซึ่งให้พลังงานสูงมาก เห็นอย่างนี้แล้วคงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกล้วยหอมไทยถึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลกเป็นอย่างมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "กล้วยหอมก็ให้โทษ" เหมือนกัน อ่ะๆ อย่าพึ่งตกใจจนเลิกทานกล้วยหอมกันนะครับ ฮั่นแน่!! เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับว่า "เจ้ากล้วยหอม" เนี่ยมันให้โทษยังไง ทานแล้วป่วยรึเปล่า เอาหละครับเรามาทำความรู้จักกับเจ้ากล้วยหอมกันอีกซักหน่อยก่อนดีกว่าคับ


กล้วยหอม ผลไม้แห่งชีวิต

กล้วยหอมเป็นอีกหนึ่ง ผลไม้ไทยที่มีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ต่อหน่วยเลยทีเดียว อู้ววว!! ว้าววว!!

และเนื่องจากว่า ในกล้วยหอมนั้นมีน้ำตาลอยู่ถึง 3 ชนิด ได้แก่ ซุคโคส ฟรักโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหารด้วย ดังนั้นร่างกายเราจะได้รับพลังงานและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ผลจากการวิจัยพบว่า แค่กล้วยหอมเพียง 2 ลูก ก็สามารถให้พลังงานกับเราได้มากถึง 90 นาที ด้วยเหตุนี้นักกีฬาโดยเฉพาะนักเทนนิส จึงนิยมนำไปรับประทานระหว่างการแข่งขัน เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีนั่นเอง สุดยอดจริงๆ "เจ้ากล้วยหอมน้อยของเรา"

ยังไม่หมดครับ ยังไม่หมด นอกจากสรรพคุณที่กล่าวไว้ค้างต้นแล้ว เจ้ากล้วยหอมของเรายังมีสรรพคุณอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากเลยครับ ไปดูกันครับ

1.ลดอาการซึมเศร้า

มีการศึกษาทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เมื่อให้รับประทานกล้วยหอมแล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งนี้ในกล้วยหอมมีสาร Tryptophan เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายสามารถแปลงเป็น Serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุข สดชื่น

2.pms. (Premenstrual syndrome)

เป็นอาการของคุณผู้หญิงในช่วงระหว่างก่อนมีหรือมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดแปรปรวนง่าย รวมไปถึงอาการปวดหัว ปวดท้อง หากรับประทานกล้วยหอมก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

3.โรคโลหิตจาง

ในกล้วยหอมจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง ฮีโมโกลบิน ให้กับเม็ดเลือดแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้

4.ช่วยลดความดันโลหิต

กล้วยหอมมีสารอาหารทั้งวิตามินและเกลือแร่อยู่หลายชนิด เกลือแร่ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ โพแทสเซียม จากการวิจัยยืนยันแล้วว่าโพแทสเซียมในผลไม้ สามารถช่วยลดความดันโลหิตให้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้

5.เพิ่มพลังสมอง

สารอาหารที่อยู่ในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมองได้ จากการวิจัยเด็กนักเรียนในประเทศอังกฤษกลุ่มหนึ่งพบว่า การรับประทานกล้วยหอมเป็นอาหารเช้าก่อนเข้าห้องสอบ จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ และทานอีกในช่วงกลางวัน จะทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวได้

6.ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมอง

การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมจะช่วยลดภาวะจากการเป็นโรคหลอดเลือด สมองได้ ดังนั้นกล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

7.ลดการเกิดก้อนนิ่วในไต

บางครั้งแคลเซียมจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะเรามาก ทำให้ไตทำงานหนักจะอาจะเกิดเป็นก้อนนิ่วได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมอย่างกล้วยหอมจะช่วยให้ลดการเกิด นิ่วในไตได้

8.ลดการเกิดแผลในกระเพาะและลำไส้

กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารอยู่มาก ใยอาหารเหล่านี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมถึงยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้ลดการระคายเคืองของกรดต่าง ๆ ไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องผูกอีกด้วย

9.ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง

ในกล้วยหอมจะมีสารลดกรดธรรมชาติ การรับประทานกล้วยหอมจึงสามารถแก้อาการดังกล่าวได้

10.กล้ามเนื้อเป็นตะคริว

คนที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริวนั้นส่วนหนึ่งมาจากการขาดโพแทสเซียม หรือมีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ การทานกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้

11.ระบบประสาท

ในกล้วยหอมนอกจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้วยังมีวิตามินบีอยู่อีกมาก วิตามินบีจะช่วยเรื่องระบบประสาทในร่างกาย และการทำงานของสมองให้สมดุล

เห็นไหมล่ะครับว่า เจ้ากล้วยหอมน้อย ของเราเนี่ยมันสุดยอดขนาดไหน เพราะนอกจากจะหาได้ง่ายในบ้านเราแล้ว ซื้อง่าย ขายคล่อง ยังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไทยเราต้องส่งออกให้กับต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศมากมายมหาศาลเลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้วเราคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว คงต้องออกไปหามารับประทานเพื่อสุขภาพกันบ้างแล้ว ใช่ไหมหละครับ? (^_^)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : www.never-age.com


กล้วยหอม ให้โทษได้อย่างไร??

มาถึงตรงนี้ท่านๆคงจะนึกสงสัยว่า "เอ๊ะ!! กล้วยหอมมีดีซะขนาดนี้ ทานแล้วมันจะเกิดผลเสียได้ยังไง" มันจะไม่เกิดผลเสียหรอกครับ หากท่านบริโภคอย่างถูกวิธี เพราะกล้วยหอมนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ฤทธิเย็นมีรสหวาน อย่างพวก ทุเรียน ขนุน ผลไม้รสหวานเหล่านี้เราอย่าได้ริอาจรับประทานตอนหิวเป็นอันขาด ยิ่งหิวจัดๆเนี่ยยิ่งต้องระวังใหญ่ เพราะผลไม้รสหวานพวกนี้หากทานเข้าไปตอนหิวมันจะสร้างแก๊สขึ้นในกระเพาะได้รวดเร็วมาก แล้วแก๊สที่ว่ามันก็จะวิ่งไปตามจุดต่างๆของร่างกาย หลอดเลือด เส้นประสาทก็ถูกลม ถูกแก๊สพวกนี้ กดทับ ตีบตัน ทำงานได้ไม่สะดวกจนเป็นเหตุให้อาการปวด และ โรคต่างๆตามมากันเป็นแถว

ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้หลายท่านใช้วิธีแช่ผลไม้หวานๆตุนไว้ในตู้เย็น เผื่อเวลาร้อนๆ หรือ ท้องว่างจะได้นำออกมารับประทานให้สดชื่น แจ่มใสกัน นี่แหละคับตัวปัญหา ผลไม้รสหวาน แช่เย็นๆแบบนี้ หากทานตอนหิวจัดแถมช่วงอากาศร้อนๆในเมืองไทยแบบนี้ ตาย! ครับ ตาย! หลายท่านบอกว่าก็เห็นนักกีฬาต่างชาติเค้าทานกันตอนช่วงพักกันยกใหญ่ เพราะกล้วยหอมมันให้พลังงานได้รวดเร็ว แล้วทำไมเค้าไม่เห็นเป็นอะไรเลย? ก็แหม่ ฝรั่งเค้าไม่เป็นไรหรอกครับ ก็โดยธรรมชาติแล้วกระเพาะอาหารของพวกเค้านั้นแข็งแรงกว่าพวกเราคนไทยมาก แถมอากาศบ้านเมืองเค้าก็ไม่ได้ร้อน (ถึงร้อนมาก) แบบบ้านเราไช่ไหมครับ กล้วยหอมที่ทานเข้าไปก็ยังไม่ทันได้สร้างแก๊สก็โดนดึงไปเป็นพลังงานซะแล้ว โดยเฉพาะพวกกีฬาหนักๆอย่าง เทนนิส ฟุตบอล แบบเนี้ยคงย่อยไปหมดแล้ว แต่พนักงานออฟฟิส มนุษย์เงินเดือน นี่สิคับทำงานหนักจนไม่มีเวลาออกไปหาอะไรทาน จนต้องพึ่งกล้วยหอม (แช่เย็น) ประทังชีวิตไปก่อน แถมไม่ได้ไปออกแรงทำอะไรหนักๆอีก แบบนี้ก็ไม่รอดสิครับ แล้วก็บ่นปวดนั้นปวดนี่ สุดท้ายก็บอกว่า "สงสัยกระดูกทับเส้น" น่าสงสารเจ้ากระดูกเนอะโดนกล่าวโทษตลอด เอาหละรู้อย่างนี้แล้วไม่ต้องไปโทษดินโทษฟ้า โชคชตากลั่นแกล้งกันให้ช้ำใจ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเองหละคับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซะใหม่ ทานอาหารให้ตรงเวลา ทานอาหารที่มีประโยช์นให้ครบห้าหมู่ กล้วยหอมจริงๆแล้วทานเช้าลูก เย็นลูก ก็เพียงพอแล้วคับ เพราะหากทานอาหารครบห้าหมู่แล้ว ก็จะได้พลังงานจากตรงนี้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วหละครับ


วันนี้เราก็ได้รู้ถึงคุณและโทษของ "กล้วยหอม" กันพอสมควร รู้อย่างนี้แล้วเราทุกคนก็ควรบริโภคกล้วยหอมกันอย่างถูกวิธีนะครับ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง อย่าลืมนำครับ "สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวท่านเอง" ไว้คราวหน้าผมจะนำเรื่องราวของกล้วยหอมมาฝากกันอีก อย่างแน่นอน วันนี้ขอลาไปก่อนหละคร้าบบบ

สุขภาพดีด้วยตัวเอง โดยการดื่มน้ำอย่างถูกวิธี


การดื่มน้ำใครๆก็รู้ว่า "ดี" มีประโยชน์ ดื่มมากๆเพื่อสุขภาพ แต่คุณๆทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำนั้น นอกจากจะต้องเป็นน้ำที่สะอาดแล้วยังต้องดื่มให้ถูกวิธี ดื่มอย่างพอดีๆ เดี๋ยวนี้ยังมีผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าใจผิดคิดว่าการดื่มน้ำนั้นยิ่งดื่มมากยิ่งดีต่อสุขภาพ จึงตะบี้ตะบันดื่มกันเข้าไป บางคนดื่มวันละหลายลิตรเลยก็มี ยิ่งสาวๆบางคนดื่มไปทานข้าวไปคิดว่าดื่มน้ำเยอะๆจะได้ทานข้าวน้อยๆ ลดความอ้วนไปในตัว (ช่างคิดเนอะ) แต่จริงๆแล้วการดื่มน้ำมากๆแบบนี้เป็นพฤติกรรมที่ผิดครับ เพราะมันจะเป็นการเชิญชวนให้เจ้าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนาๆถามหาเอาได้ครับ


ดื่มน้ำมากเกินไปมีผลเสียอย่างไร

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า "เอ้ ดื่มน้ำดีจะตาย เสียหายตรงไหน" มันไม่เสียหายหรอกครับหากดื่มอย่างถูกต้อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ อย่างเช่น เดี๋ยวนี้สาวๆทั้งหลาย ทั้งสาวน้อย สาว(แก่)ใหญ่ ต่างพากันลดหุ่นลดน้ำหนักเพื่อหวังว่าจะมีรูปทรงองเอวที่สวยงาม กระชับ จนพากันเสาะหาวิธีการต่างๆเพื่อเป็นตัวช่วยในการสร้างฝันให้เป็นจริง หนึ่งในนั้นก็คือ การดื่มน้ำมากๆในเวลาทานอาหาร น้ำเย็นอีกตะหาก ดื่มไปทานไป 3-4 แก้ว บางทีมีน้ำอัดลม น้ำผลไม้สลับกันไป ตบท้ายด้วย ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่งพวกนี้เป็นผลไม้ที่มีน้ำมากอยู่แล้ว ด้วยหวังให้ทานข้าวน้อยๆ อิ่มเร็วๆ พฤติกรรมแบบนี้ไม่เหมาะสมนะครับ เพราะน้ำที่ดื่มเข้าไปมากๆนั้นมันจะเข้าไปลดความเข้มข้นของน้ำย่อย น้ำดี ทำให้กระบวนการย่อยเผาผลาญอาหารทำได้ไม่ดี แถมยังทำให้ระบบการดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ทำได้ไม่สมบูรณ์ เมื่อดูดซับสารอาหารที่มีประโยชน์ได้ไม่ดีพอ แล้วร่างกายจะเอาอะไรไปสร้างเลือดดี สร้างเซลล์ดี แถมอาหารที่ไม่ย่อยก็จะกลายเป็นสารตกค้าง เป็นสารพิษอยู่ในร่างกายอีกตะหาก เผลอๆมะเร็งอาจถามหาเป็นของแถม อู้ยยย น่ากลัว! ดังนั้นการที่คนเราจะอ้วนหรือไม่อ้วยต้องดูที่ระบบการย่อยอาหารว่าดีแค่ไหน ปกติหรือไม่ หากทานอาหารแล้วไม่ย่อย ข้าวจานเดียวคุณๆท่านๆก็อ้วนได้ครับ ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจซะใหม่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำให้ถูกวิธี ถูกเวลา เพื่อสุขภาพที่ดีของเราและคนที่เรารักครับ


หลักการดื่มน้ำที่ถูกต้องและเหมาะสม

การดื่มน้ำนั้น น้ำที่ใช้ดื่มเป็นสิ่งสำคัญครับ ให้เป็นน้ำอุ่นพอดี ไม่เย็นจัดรึร้อนจัดเกินไป เพราะน้ำที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าน้ำที่เย็นจัดหรือร้อนจัดเกินไป การดื่มน้ำเนี้ยเราไม่ควรดื่มรวดเดียวหมดแก้วหรือปริมาณมากๆในคราวเดียว ให้ค่อยๆดื่มไปเรื่อยๆจะรู้สึกสดชื่นและดีกว่า ไม่คิดคอ แน่นหน้าอก การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาดีๆที่ควรดื่มน้ำเป็นเรื่องจำเป็นครับ เพื่อสุขภาพเนอะ ท่องไว้ๆ




ช่วงเวลาดีๆที่ควรดื่มน้ำ

- เช้าๆตอนตื่นนอนครับ ไม่ใช่ตื่นปุ๊บซดปั๊บนะครับ ไม่ดีๆ นั่งพักให้ตื่นตัวนิดๆก่อนครับ แล้วดื่มน้ำอุ่นสะอาดเลยโดยยังไม่ต้องแปรงฟันนะครับ ผมก็แปลกใจเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องจริงครับ เพราะเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากของเราตอนเช้ามันมีประโยชน์ต่อร่างกายครับ ดังนั้นตื่นนอนแล้วดื่มน้ำสะอาดได้เลยครับ

- ช่วงสายๆครับ ประมาณ 9 - 10 โมงเช้าครับ เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเราจะขับของเสียทั้งที่ตกค้างและของอาหารเย็นเมื่อวานครับ อ้อ อีกอย่าง เช้าๆควรเข้าห้องน้ำขับถ่ายให้เรียบร้อยก่อน 10 โมงเช้านะครับ ไม่งั้นร่างกายเราจะดูดซับของเสียจากเมื่อวานมาใช้ใหม่นะครับ เวียนหัวกันทั้งวันหละงานนี้

- ช่วงบ่ายๆครับ บ่ายโมง ถึง บ่ายสาม ตกบ่ายมาอากาศก็ร้อนขึ้นร่างกายขาดน้ำได้ง่ายๆจากการขับเหงื่อ ไม่ยากๆดื่มน้ำซิครับ ช่วงนี้มากหน่อยก็ได้ครับ ร้อนๆ

- ช่วงเย็นครับ หกโมงเย็น ถึง สองทุ่ม แน่นอนครับอาจจะหลังจากออกกำลังกายหลังเลิกงานก็ได้คับ เสียเหงื่อต้องเติมพลัง สู้ๆ

- ก่อนนอนครับ เพื่อให้น้ำที่ดื่มเข้าไปชะล้างสิ่งสกปรก สารตกค้างในลำใส้และกระเพาะอาหาร อ้อ ให้เป็นน้ำอุ่นหรือนมอุ่นก็จะดีคับ ทำให้นอนหลับฝันดี สบายตัวเยอะเลยคับ


คลิกที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่


"ดังนั้นผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วต่อวันครับ เพราะอะไรหนะหรอ? เพราะหากคุณดื่มน้ำน้อยไปจากที่ควร เลือดในร่างกายก็จะข่น หนืด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก ต้องมาหนักที่ไตเจ้ากรรมต้องรับภาระหนักในการระบายน้ำทั่วร่างกาย และกลั่นกรองเอาของเสียออกจากกรแสเลือด ไตทำงานหนักจึงเสียสมดุล จนทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนของปัญหาสุขภาพตามมาอีกมากมาย เพราะฉะนั้นสำคัญครับ คนเราต้องดื่มน้ำในแต่ละวันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายครับ


คลิกที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่


เอาหละครับสุดท้ายนี้ ก็อยากจะฝากให้ทุกๆท่านที่อ่านมาจนถึงจุดนี้ ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีแล้วอย่าลืมแบ่งปันสุขภาพดีๆให้คนรอบข้างที่คุณรักด้วยนะคับ สำหรับบทความนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ไว้คราวหน้าผมจะนำเรื่องราวความรู้ดีๆมาฝากเพื่อนๆ คุณๆ ท่านๆ กันอีกแน่นอน
อย่าลืมนะคับ "สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวท่านเอง" ขอบคุณคร้าบบบบบบบ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้อง แสนง่าย แถมได้สุขภาพ


แหม่ๆ เศรษฐกิจแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องแข่งกันทำงานเพื่อปากท้องกันล่ะนะ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าหักโหมกันเกินไปเดี๋ยวจะหมดแรงทำกันไปก่อน ทีนี้หละแย่ของจริงล่ะครับท่าน อ่ะ!! เกรินกันพอประมาณมาเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้ผมเอาเรื่องของการนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง และดีต่อสุขภาพมาฝากครับ
เพราะการนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงแทบจะไม่ได้ สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่งานที่เสร็จ (รึอา่จไม่เสร็จ) แต่สุขภาพร่างกายเราก็เสร็จ (เจ็บปวย) เหมือนกันครับ ดังนั้นเรามาศึกษาวิธีปฏิบัติในการนั่งทำงานบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง แถมง่ายๆ กันดีกว่าครับ

จากสมาคมศัลยศาสตร์กระดูกอเมริกา ที่บอกถึงวิธีการช่วยลดอาการเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อตัวจากการใช้คอมพิวเตอร์โดยบอกถึงการจัดท่านั่งมาเป็นลำดับตั้งแต่ศีรษะจดเท้ากันเลยทีเดียว อ่ะมาดูกันครับ

เริ่มจากต้องนั่งตัวตรง วางแนวให้หูทั้ง สองข้างขนานกับหัวไหล่และไหล่ทั้งสองข้างตั้งตรงขนานกับแนวสะโพกมาถึงช่วงแขนนั้นก็ให้ปล่อยต้นแขนตามสบายและให้ดึงมาแนบลำตัวเข้าไว้ ควรวางมือและข้อมือให้ยื่นตรงออกไปข้างหน้าตามแนวแขน สำหรับมือและนิ้วนั้น ก็ให้ปล่อยตามสบาย เมื่อพิมพ์หรือคลิกเมาส์หมั่นหาเวลาพักบ่อยๆ และยืดคลายมือ กับนิ้วเป็นระยะๆด้วย ผ่อนคลายๆ

ส่วนเรื่องสายตาก็สำคัญต้องพักสายตาด้วยการมองไปที่อื่นนอกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อยๆ จะให้ดีต้องมองไปที่ที่มีสีเขียวจะสบายตาครับทั้งต้อง พยายามจัดตำแหน่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีแสงสะท้อนให้น้อยที่สุดตำแหน่งของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรวางให้ห่างจากตัวเราประมาณ 1 ช่วงแขน และอยู่ในระดับพอดีกับสายตาเพื่อจะได้ไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่า หรือก้มหน้าจนเกินไปเมื่อมองหน้าจอ. เท่านี้ก็ทำงานได้สบายแล้ว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ (^_^)


อืม...จะว่าไปแล้ว ลำพังแค่เรานั่งทำงานอย่างถูกวิธีแล้วมันก็คงหนีไม่พ้นอาการปวดเมื่อย ปวดเกร็ง ไปได้หมดหรอกจริงไหมครับ เพราะเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งเป็นเวลานานๆ งั้น...เรามารู้จักการแก้อาการปวดเมื่อย แบบ ง่ายๆกันดีกว่า มีภาพประกอบด้วย เข้าใจ ง๊าย ง่าย ช้าอยู่ไย ลุยกันเล้ยยยยย

วิธีแก้เมื่อยเวลานั่งหน้าคอมนานๆ

Step 1
เริ่มจากการบริหารข้อเท้าด้วยการยกขึ้นขนานกับพื้นขยับขึ้นลง ข้างละประมาณ 10 ครั้ง



Step 2
ท่า บริหารข้อมือด้วยการยกมือขึ้นขนานกับพื้นแล้วก็พับมือขึ้นลงโดยที่แขนไม่ ต้องขยับตามมือ ท่านี้ช่วยบริหารเส้นเอ็นและข้อต่อบริเวณข้อมือ


Step 3
ท่ากอดเข่าใช้มือโอบรอบเข่า ถ้าไม่อยากให้หลุดก็อาจจะใช้นิ้วมือทั้งสองประสานกันไว้ แล้วยกเข่าขึ้นแนบชิดลำตัว ข้างล่ะ 10 ที



Step 4 ขยับมือให้เส้นเลือดบริเวณนิ้วมือได้สูบฉีดซักหน่อย หลังจากที่พิมพ์งานมาเยอะแล้ว



Step 5 ท่ายืดหัวเขา นั่งเก้าอี้สบายๆ จากนั้นก็ยืดหัวเข่าให้ตรง ยกขาขึ้่นเล็กน้อย ทำข้างล่ะ 10 ครั้งก็พอ




Step 6 ท่ายืดหัวไหล่ โดยการเอามือข้างขวาไปจับที่ข้อศอกข้างซ้าย แล้วค่อยๆ ดึงเข้าหาลำตัว ค้างไว้สัก 10 วินาที หรือจำนับ 1 ถึง 10 แล้วเปลี่ยนข้างก็ได้



Step 7 บริหารคอ ด้วยการหมุนไปรอบๆ ค่อยๆ หมุนนะ เริ่มจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้ายก็ได้ ตามถนัด อย่างละ 10 รอบ ก็จะช่วยให้หายเมื่อยคอ



Step 8 ท่าบิดมือ เริ่มจากปล่อยมือไว้ข้างลำตัวแล้วก็บิดมือไปมาหน้าและหลัง 20 ครั้ง



Step 9 ท่าสุดท้าย ท่าหมุนไหล่ คือยกไหล่แล้วมุมเป็นวงรอบเริ่มจากตามเข็มนาฬิกาแล้วค่อยทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างละ 10 ครั้งก็พอ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) วายร้ายที่เลี่ยงได้เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง


ในยุคสมัยที่เศรษฐกิจฟืดเคืองอย่างนี้ ผู้คนต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันแบบไม่ลืมหูลืมตาเพื่อปากท้องของครอบครัว หายใจเข้าออกเป็นเรื่องานไปซะหมด จนลืมหันมามองดูสุขภาพของตนเองรู้ตัวอีกทีก็ร้อง โอ๊ยเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ จนโรคต่างๆรุมประดากันเข้ามาไม่ขาดสายได้เวลา "หยุด" หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันบ้างเถอะครับก่อนจะสายเกินไป อย่างน้อยก็เพื่อตัวคุณเองแล้วก็คนที่คุณรักก็จะได้สบายใจไปด้วยไงล่ะครับ


มาดูข้อมูลคร่าวๆกันก่อน (^_^)

มีรายงานหลายแห่งเผยว่า คนทำงาน (มนุษย์เงินเดือน) 1 ใน 5 เป็นโรค "ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นคอขั้นเรื้อรัง ปัจจุบันอาการปวดเรื้อรังเป็นปัญหาอันดับต้นๆของโลก ผลจากการวิจัยล่าสุดพบว่าประชากรในวัยทำงานทุกๆ 1 ใน 5 คนจะมีอาหารปวดเรื้อรัง และแน่นอนคับอันดับหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นผู้คนในสังคมเมืองที่มีวิถึชีวิตที่เร่งรีบต้องแข่งขันกันและมีสภาวะตึงเครียดสูง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งไปถึงสภาวะทางเศรษฐกิจด้วย

จากข้อมูลของมูลนิธิความปวดแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เผยว่า อาการปวดเรื้อรังก่อให้เกิดความสูญเสียโดยรวมแล้วปีละประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.5 ล้านล้านบาทไทย (โอ้ววว) ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และการหยุดงาน และค่าชดเชยสำหรับคนตกงานอีกด้วย ที่สำคัญ สมาคมศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย เตือนว่า หากมีอาการปวดมานานกว่า 3 เดือน จัดให้อยู่ในประเภทปวดเรื้อรัง ซึ่งสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย โดยแยกได้ 2 กลุ่มดังนี้

1. การปวดจากการอักเศบ ที่พบบ่ายในโรคข้อต่อ ได้แก่ ข้อเสื่อม พบมากในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชาย 9.6% ผู้หญิง 18%

2. กลุ่มคนอายุน้อย และ ในวัยทำงาน



ตามหลัการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนตะวันออก อาการปวดนั้นเกิดจาก "เลือดและลม" เดินไม่ได้หรือเดินไม่สะดวกเป็นส่วนใหญ่เพราะร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยท่อทางเดินระบบต่างๆมากมาย ทั้งท่อลม ท่อน้ำเหลือง ท่อประสาท (เส้นประสาท) หากระบบเหล่านี้มีการอุดตันหรือไหลเวียนไม่ปกติ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบต่างๆของร่างกายทุกส่วน ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพดูกันอย่างเช่น หากบอกเกิดอาหารปวดหลัง ปวดต้นคอมากเพราะนั่งทำงานหนักเกินไปทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ หรือนั่งผิดท่าจนกระดูกกดทับเส้นประสาทละก็ ถ้าอย่างนั้นลองนึกภาพคนที่เค้าทำงานใช้แรงงานกันหนักๆเค้ามิปวดอักเสบ ทรมานกันแย่หรอ? เห็นดังนี้แล้วคุณๆคงต้องปรับเปลี่ยนพฤตติกรรมประจำวันซะใหม่ อย่างเช่น ไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ไม่นั่งขลุกทำงานเป็นเวลานานๆ นั่งหลังโค้งงอจ้องคอมพิวเตอร์นานๆโดยไม่หยุดพักสายตายืดเส้นยืดสาย มิฉะนั้นหากเจ็บปวยเรื้อรังขึ้นมาจะไปโทษใครที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะคุณทำตัวคุณเอง


ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซะใหม่ สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง

"น้ำ" เป็นสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง เพราะคนส่วนใหญ่ยังดื่มน้ำกันอย่างผิดๆ ดื่มน้อยไป ดื่มมากเกินควร โดยเฉพาะพวกน้ำเย็นจัดๆทั้งหลาย น้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟ หลายคนชอบดื่มน้ำเย็นๆช่วงทานอาหารไปด้วย ดื่มไปทานไป บางคนบอกว่าดื่มน้ำนิดเดียว แต่ซดน้ำซุป น้ำแกงตามเป็นถ้วยๆ แถมด้วยพวกผลไม้ที่มีน้ำอยู่ในตัวมาก เช่น ส้ม สาลี่ แตงโม มะละกอ ตบท้ายอาหารอีกพฤติกรรมเหล่านี้แหละครับสามารถก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ เพราะน้ำที่ดื่มเข้าไปมากๆนั้นจะไปละลายน้ำย่อย น้ำดีในกระเพราะอาหารให้เจือจางลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารนั้นทำงานได้ไม่เต็นที่ ก่อให้เกิดการหมักหมมในกระเพราะอาหารและลำใส้ เกิดแก๊สสารพิษแทรกซึมไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะแผ่นหลัง เส้นประสาทกระดูกสันหลัง แก๊สและสารพิษจะไปกดทับเส้นเลือด เส้นประสาท ทำให้ระบบไหลเวียนต่างๆถูกกดทับ ตีบตัน ไหลเวียได้ไม่สะดวก ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ไม่ใช่มีสาเหตุจากเรื่องกระดูกทับเส้น หรือ อักเสบแต่อย่างใด

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการเข้าสังคมมากขึ้นคนทำงานก็จำต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตามสมัย นั่งทำงานงกๆทั้งวัน ไหนจะเรื่องเพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านาย เคลียดจนไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนคงได้แต่สวดมนต์ขอพรอยู่ในใจ เลิกงานเจอปัญหารถติดอีก โอ้ย!! จะบ้าตายบางคนหลังเลิกงานก็มีออกกำลังกาย ฟิตเนสต่อ บางก็สังสรรเข้าสังคม กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน ตีหนึ่ง กว่าจะอาบน้ำนอนได้ก็เกือบๆตีสอง การนอนดึกมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งครับ เพราะเมื่อคุณนอนดึกน้ำดี น้ำย่อยที่อยู่ในถงน้ำดีก็จะแห้ง ดังนั้นอาหารที่ทานมาช่วงหัวค่ำก็จะไม่ย่อย เอาหละคับทีนี้งานเข้า!! นอกจากนี้การนอนดึกยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆอีกมากมายเลยทีเดียว


"คนเราใช้เวลาในการนอนถึงหนึ่งในสามของช่วงชีวิต"

ดังนั้นเราควรจะรักษาช่วงเวลาการนอนนี้ให้เป็นปกติสุขตามธรรมชาติให้ดีที่สุด ตามปกติเวลากลางคืนร่างกายคนเราจะสร้างฮอร์โมนขึ้นมาเพื่อช่วยในการนอนหลับ เพราะช่วงเวลากลางคืนจะเป็นเวลาที่ร่างกายคนเราจะปรับตัวซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ สร้างเนื้อเยื่อ สร้างเซลล์สมอง ดังนั้นหากเราไม่นอนหลับสุขภาพคงทรุดโทรมอย่างไม่ต้องสงสัย


การสังเกตอาการ"กระเพาะ"

เราสามารถสังเกตอาการผิดปกติของกระเพาะอาหารได้ง่ายๆด้วยตนเองครับ คือ ให้สังเกตว่าเราท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีลมเรอหรือผายลมบ่อยรึเปล่า ตึงต้นคอ หลังหรือไม่ กดนวดแล้วลมเรอออกหรือไม่ กลืนอาหารไม่ค่อยลงเหมือนมีอะไรมาจุกคอไว้หรือเปล่า ถ้าเกิดมีอาหารดังกล่าวแสดงว่า กระเพาะอาหารของท่านเริ่มย่อยอาหารไม่ดีแล้วหละครับ ให้รีบแก้ไขโดยด่วนเลยคับ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่งเองครับ


อ่านมาถึงจุดนี้หวังว่าทุกท่านคงเริ่มคิดที่จะปรับพฤติกรรมประจำวันของตนเองกันแล้วใช่ไหวคับ (เป็นห่วงๆ) ในเมื่อเริ่มเห็นทางออกที่ทุกท่านรู้อยู่แล้วลึกๆในใจแล้วหละก็ อย่ารีรอ ชักช้า คิดแล้วเริ่มทำกันเลยดีกว่าครับ เริ่มจากวิธีการดื่มน้ำก่อนก็ยังดี (เนอะๆ เป็นห่วงจริง จริ๊งง) แล้วอย่าลืมนะครับ "สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวท่านเอง" อ้อ!! ดูแลตัวเองแล้วอย่าลืมดูแลคนข้างๆที่คุณรักและรักคุณด้วยนะครับ

"คนไทยต้องรักกันเข้าไว้ โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวดีที่สุด"

สมควรแก่เวลา เอาไว้ผมมีเรื่องดีๆอีกรับรองว่าจะนำมาฝากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านอีกแน่นอนครับ ลาหละครับ ขอบคุณคร้าบบบบบ